Adam Reekie, Ph.D. , Narun Popattanachai, Ph.D.
โครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการทบทวนและประเมินข้อเท็จจริงสำหรับการบังคับใช้ของพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 และนำเสนอข้อเสนอแนะการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงข้อเสนอแนะแนวปฏิบัติทางอุตสาหกรรมที่นำไปสู่ตลาด Securitization ที่ประสบความสำเร็จ คณะผู้วิจัยดำเนินการวิจัยด้วยการประเมินโครงสร้างกฎหมายและการกำกับดูแลในประเทศไทยโดยพิจารณากลไกหรือขั้นตอนทางกฎหมายที่ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตามเพื่อดำเนินโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ โดยแบ่งออกเป็นกลไกทางกฎหมายที่มีผลกระทบสูง กลาง และระดับต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับโครงสร้างกฎหมายและการกำกับดูแลในประเทศกรณีศึกษาอีกสองประเทศ ได้แก่ สหภาพยุโรป (และสหราชอาณาจักร) และสหรัฐอเมริกา
งานวิจัยได้ผลสรุปว่า ประเทศไทยมีกลไกหรือขั้นตอนที่สร้างต้นทุนการปฏิบัติตามกฎหมาย (compliance costs) สูง ได้แก่ กลไกการขออนุญาต และบทบัญญัติเกี่ยวกับคุณสมบัติ เงื่อนไข และหลักเกณฑ์ของการเป็นผู้สนับสนุนโครงการและ SPV เป็นต้น นอกจากนั้น ยังมีกลไกหรือขั้นตอนที่สร้างต้นทุนการปฏิบัติตามกฎหมายระดับปานกลาง เช่น บทบัญญัติที่กำหนดเงื่อนไขและข้อจำกัดของสถาบันการเงินในการลงทุนในหลักทรัพย์ที่เกิดจากการแปลงสินทรัพย์ ประเด็นที่น่าสนใจคือ ยังมีกลไกหรือขั้นตอนที่สร้างต้นทุนการปฏิบัติตามกฎหมายที่เมื่อพิจารณาแล้วอาจสร้างต้นทุนในระดับต่ำ แต่เมื่อเปรียบเทียบกลไกหรือขั้นตอนเดียวกันของกฎหมายหลักทรัพย์ในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกากลับพบว่าเป็นกลไกหรือขั้นตอนที่ควรพิจารณาออกแบบการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด เช่น การกำกับดูแลผู้ให้บริการวิเคราะห์และจัดลำดับทางการเงิน เป็นต้น
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (policy recommendations) เบื้องต้น สรุปได้ดังนี้