Chiraphol N. Chiyachantana, Ph.D.
การศึกษานี้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการวางแผนภายใต้กลไกการกำหนดราคาคาร์บอนแก่กลุ่มผู้เกี่ยวข้องในตลาดทุนและผู้มีส่วนได้เสีย เช่น ภาครัฐ ผู้กำหนดนโยบาย และภาคเอกชนที่จะได้รับผลกระทบจากกลไกการกำหนดราคาคาร์บอนในรูปแบบของภาษีคาร์บอน ทีมผู้วิจัยใช้วิธีการทดลองที่มีลักษณะเชิงอนาคต เพื่อศึกษาวิธีที่บริษัทสร้างสมดุลระหว่างความสามารถในการทำกำไรและความยั่งยืนในการตัดสินใจลงทุนในโครงการด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้ข้อกำหนดการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม รายงานนี้จะแสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของภาครัฐและเอกชนในการเสริมสร้างความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศเมื่อเผชิญกับภาวะจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ผลการศึกษาพบว่าผู้บริหารมีความตระหนักรู้ถึงปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญกับการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ ภายใต้ทางเลือกนี้ ผู้กำหนดนโยบายและหน่วยงานกำกับควรใช้กลยุทธ์และเครื่องมือหลากหลายเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย เช่น เครื่องมือจูงใจทางเศรษฐศาสตร์ สิ่งจูงใจทางเศรษฐกิจและเครื่องมือทางกฎหมาย (ทุนสนับสนุนและเงินช่วยเหลือสำหรับธุรกิจในการปรับตัวเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือสินเชื่อดอกเบี้ยตํ่า) และสิ่งจูงใจทางการเงินสำหรับธุรกิจที่ต้องการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว เพื่อเร่งการนำเทคโนโลยีและแนวปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ เพื่อช่วยให้ธุรกิจปรับตัวอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนเป็นการดำเนินงานที่ยั่งยืน ขณะที่ยังคงความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ การให้สิ่งจูงใจทางการเงินช่วยลดต้นทุนเริ่มต้นสำหรับธุรกิจที่มีมาตรฐานการปฏิบัติที่ยั่งยืนสูงขึ้น
นอกจากนี้ ผลการศึกษายังชี้ให้เห็นว่าการเปิดเผยข้อมูลผลกระทบสิ่งแวดล้อมมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการตัดสินใจดำเนินงานของผู้บริหาร โดยผู้บริหารยินดีที่จะเสียสละความยั่งยืนเพื่อผลกำไร เมื่อได้ชำระค่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของบริษัทในรูปแบบของภาษีคาร์บอนแล้ว อย่างไรก็ตาม ผลกระทบเชิงลบดังกล่าวจะถูกแก้ไขได้เมื่อมีการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การบังคับใช้การเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมอาจเป็นกลไกกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจของภาษีคาร์บอน ในขณะเดียวกัน บริษัทจะต้องเตรียมพร้อมที่จะเร่งปรับตัวในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ในกรณีที่มีการบังคับใช้ของภาษีคาร์บอนและการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมภาคบังคับ
ในวันที่ปัญหาโลกร้อนไม่ใช่เรื่องของ “สิ่งแวดล้อม” อย่างเดียวอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ “ความอยู่รอดของธุรกิจ” ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) กำลังกลายเป็นกลไกสำคัญที่บีบให้ภาคเอกชนทั่วโลกต้อง “เปลี่ยนวิธีคิด” และ “ปรับกลยุทธ์” อย่างเร่งด่วน
จากงานวิจัยเรื่องการวางแผนกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนภายใต้กลไกการกำหนดราคาคาร์บอน ดำเนินการด้วยความร่วมมือของนักวิจัยจาก 4 สถาบันการศึกษาชื่อดัง ได้แก่ Singapore Management University, Nanyang Technological University, Chulalongkorn University และ Kasetsart University โดยการสนับสนุนของกองทุน CMDF พบว่า เมื่อธุรกิจต้องเผชิญกับภาษีคาร์บอน ผู้บริหารจะเริ่มคิดแบบใหม่ ไม่ใช่แค่กำไรระยะสั้น แต่ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและภาพลักษณ์ในระยะยาว
งานวิจัยนี้ออกแบบการทดลองกับกลุ่มผู้บริหารระดับสูง โดยเสนอให้เลือกระหว่างการลงทุนใน 3 ทางเลือก:
ผลที่ได้ชี้ชัดว่า ผู้บริหารส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับ “ความยั่งยืน” มากกว่าที่คาด หลายคนในกลุ่มตัวอย่างเลือกลงทุนในโครงการสีเขียว แม้จะต้องยอมขาดทุน เพราะเห็นความสำคัญของเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม และเชื่อว่าจะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กรในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยยังพบสิ่งที่น่ากังวลคือ “Moral Licensing” หรือ “สิทธิ์ทางศีลธรรม” ซึ่งหมายถึงเมื่อผู้บริหารจ่ายภาษีคาร์บอนแล้ว อาจมีความรู้สึกเท่ากับว่า “ได้ชดใช้แล้ว” และกลับไปเลือกลงทุนในกิจกรรมที่ส่งผลลบต่อสิ่งแวดล้อมอีกครั้งเพื่อหวังกำไร
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ภาษีคาร์บอนเพียงอย่างเดียวอาจไม่พอ
ภาครัฐและหน่วยงานกำกับต้อง “เสริมเครื่องมืออื่น” เข้ามาประกอบ เช่น:
เพราะความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ หากมีทั้งไม้เรียวและขนมหวานในเวลาเดียวกัน
ภาษีคาร์บอนจึงไม่ใช่แค่ภาษี แต่เป็น สัญญาณการเปลี่ยนเกมธุรกิจ ที่กำลังเขียนกติกาใหม่ของเศรษฐกิจโลก — ใครปรับตัวได้ก่อน ย่อมได้เปรียบในโลกที่ “ความยั่งยืน” คือแต้มต่อใหม่ของการแข่งขัน
ในโลกที่ “ความยั่งยืน” ไม่ใช่เพียงคำสวยหรูอีกต่อไป แต่กลายเป็น “กลยุทธ์เพื่อความอยู่รอด” ขององค์กร ความโปร่งใสด้านสิ่งแวดล้อมเริ่มแสดงพลังอย่างเงียบ ๆ แต่น่าจับตา โดยเฉพาะเมื่อมันมีผลต่อ “พฤติกรรมของผู้บริหาร” มากกว่าที่เราคิด
จากงานศึกษาของทีมนักวิจัยจาก 4 สถาบันการศึกษาชื่อดัง ได้แก่ Singapore Management University, Nanyang Technological University, Chulalongkorn University และ Kasetsart University ที่ได้รับการสนับสนุนโดยกองทุน CMDF ทีมวิจัยได้ออกแบบการทดลองที่น่าสนใจโดยเฉพาะ — แทนที่จะพูดเรื่องภาษีคาร์บอนเพียงอย่างเดียว พวกเขาทดลองให้ผู้บริหารระดับสูงตัดสินใจลงทุนในสถานการณ์ที่มีหรือไม่มี “การเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม”
ผลที่ได้ชี้ให้เห็นว่า “ข้อมูล” มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจไม่แพ้ “แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ”
เมื่อผู้บริหารรู้ว่าผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการลงทุนของตนจะ “ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ” หรือได้รับการวิเคราะห์อย่างละเอียดในรายงาน ESG พวกเขามีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงโครงการที่ปล่อยคาร์บอนสูง แม้ว่าโครงการเหล่านั้นจะให้ผลตอบแทนทางการเงินที่ดีกว่า
การเปิดเผยข้อมูลทำให้เกิดแรงกดดันในเชิงสังคมและภาพลักษณ์ ที่บางครั้งมีพลังมากกว่าภาษีเสียอีก
ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ เมื่อ “ภาษีคาร์บอน” กับ “การเปิดเผยข้อมูล” ถูกใช้ควบคู่กัน
ผลลัพธ์ยิ่งชัดเจน — ผู้บริหารจะหันไปเลือกลงทุนในทางเลือกที่ยั่งยืนอย่างจริงจัง
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ข้อมูลทำหน้าที่ “เหนี่ยวเบรก” ไม่ให้ภาษีคาร์บอนกลายเป็นข้ออ้าง (“เสียภาษีแล้วก็จบ”) หรือ Moral Licensing อย่างที่เคยเกิดขึ้นในการทดลองตอนแรก
ข้อเสนอจากงานวิจัยจึงชัดเจน:
ในยุคที่ความน่าเชื่อถือคือทุนที่ประเมินค่าไม่ได้ ความโปร่งใสเรื่องคาร์บอนไม่ใช่ภาระขององค์กรอีกต่อไป
แต่มันคือ โอกาสทางกลยุทธ์ สำหรับผู้ที่มองเห็นก่อนใคร