
Alicha Treerotchananon, Ph.D. , Chuleeporn Changchit, Ph.D. , Pichaya Pojanapotha, M.D., Ph.D., FRCPsychT , Ravi Lonkani, Ph.D.
งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางด้านจิตวิทยา ได้แก่ ภาวะซึมเศร้า ความสามารถในการฟื้นตัว ปัจจัยด้านอารมณ์ ปัจจัยทางด้านบุคลิกภาพ และพฤติกรรมการสื่อสาร ที่มีต่อการคาดการณ์ผลตอบแทน การคาดการณ์ความเสี่ยง การคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ ระดับความมั่นใจของนักลงทุน มีการเก็บข้อมูลจากกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามแยกเป็นสามกลุ่มคือกลุ่มผู้ลงทุนในตลาดหุ้น กลุ่มผู้ไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้น และกลุ่มนักลงทุนสถาบัน
ผลการศึกษาได้ข้อสรุปว่า ปัจจัยด้านบุคลิกภาพ ปัจจัยทางจิตวิทยา อารมณ์ และการสื่อสาร ล้วนมีอิทธิพลสำคัญต่อมุมมองของนักลงทุนทั้งในด้านทัศนคติ การคาดการณ์ และความพึงพอใจ ผลของความสัมพันธ์เหล่านี้มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนในหุ้นของผู้ที่ยังไม่ได้ลงทุน รวมถึงนักลงทุนว่าจะยังลงทุนในหุ้นต่อไปหรือไม่ นอกจากนี้ผลวิจัยยังอธิบายถึงปัจจัยที่นักลงทุนใช้ในการเลือกผู้แนะนำการลงทุนหรือบริษัทหลักทรัพย์ ผลที่ได้จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของบุคลิกภาพ ภาวะทางจิตวิทยา และอารมณ์ ต่อการคาดการณ์ผลตอบแทนและความเสี่ยง หรือการคาดการณ์ที่สูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริง ช่วยให้เข้าใจถึงสาเหตุของความผันผวนในตลาดหุ้นไทย ความรู้จากงานวิจัยนี้ช่วยเสริมสร้างให้เกิดความเข้าใจด้านการเงินเชิงพฤติกรรม ซึ่งจะช่วยให้องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในหุ้น กำหนดนโยบายและพัฒนากลยุทธ์ให้สอดคล้องกับบริบทของนักลงทุน ในมิติของบุคลิกภาพ จิตวิทยา อารมณ์ และการสื่อสาร มากยิ่งขึ้น
งานวิจัยฉบับนี้เปิดเผยมิติสำคัญของ “จิตวิทยาการลงทุน” ซึ่งมักถูกมองข้ามในกระบวนการพัฒนาตลาดทุนไทย โดยพบว่า พฤติกรรมการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจหรือผลตอบแทนที่คาดหวังเพียงอย่างเดียว หากแต่มี “อารมณ์ ความรู้สึก และบุคลิกภาพส่วนตัว” เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่กำหนดรูปแบบการรับรู้ความเสี่ยง การตีความข้อมูล และพฤติกรรมในการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ
ผลการศึกษาพบว่า นักลงทุนที่มีบุคลิกภาพ การเปิดรับต่อสิ่งภายนอก (Extraversion) เปิดรับประสบการณ์ใหม่ (Openness) และ มีความรอบคอบพิถีพิถัน (Conscientiousness) เป็นปัจจัยส่งผลในทางบวกต่อทัศนคติการลงทุนในหุ้นและทำให้นักลงทุนยังคงลงทุนในหุ้นต่อไป ตรงกันข้าม ผู้ที่มีบุคลิกภาพไม่มั่นคงทางอารมณ์ (Neuroticism) ทำให้กลัวความเสี่ยงมากขึ้น สูญเสียความมั่นใจ และมีแนวโน้มขายสินทรัพย์เมื่อเผชิญแรงกดดันจากตลาด
นอกจากนี้ อารมณ์ในแต่ละช่วงเวลา เช่น ความวิตก ความกลัว หรือความโลภ มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจมากกว่าที่นักลงทุนส่วนใหญ่ตระหนัก ผู้ที่มีอารมณ์เชิงลบ เช่น ความเครียดหรือภาวะซึมเศร้า มักประเมินผลตอบแทนสูงเกินจริง (Over-optimistic Bias) หรือในบางกรณีอาจหลีกเลี่ยงความเสี่ยงมากเกินไปจนพลาดโอกาสลงทุน ขณะที่ผู้ที่มีความสมดุลทางอารมณ์ (Emotional Stability) และสามารถฟื้นตัวได้เร็วจากแรงกดดัน จะมีมุมมองทางบวกกับผลตอบแทน และมองว่าความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นจะไม่สูง
สิ่งที่น่าสนใจคือ ลักษณะทางจิตใจเหล่านี้สัมพันธ์โดยตรงกับ “การรับรู้ความเสี่ยง” (Perceived Risk) และ “การคาดการณ์ผลตอบแทน” (Expected Return) นักลงทุนที่มั่นคงทางอารมณ์จะมองความเสี่ยงเป็นสิ่งที่จัดการได้ และเห็นว่าความเสี่ยงคือส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างผลตอบแทน ขณะที่ผู้ที่อ่อนไหวต่ออารมณ์จะรับรู้ความเสี่ยงในระดับที่สูงเกินจริง และหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวน แม้จะมีศักยภาพสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาวก็ตาม
การวิจัยยังชี้ว่า การเข้าใจอารมณ์และบุคลิกภาพของนักลงทุนสามารถนำไปใช้ประโยชน์เชิงนโยบายได้โดยตรง โดยเฉพาะต่อการออกแบบการสื่อสารกับนักลงทุนให้ตรงตามลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล ตัวอย่างเช่น นักลงทุนที่มีความวิตกสูงควรได้รับคำแนะนำผ่านการสื่อสารที่มีความเข้าอกเข้าใจและค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่นักลงทุนที่มีบุคลิกเปิดรับประสบการณ์ใหม่อาจตอบสนองได้ดีต่อข้อมูลเชิงวิเคราะห์และกราฟสถิติ
โดยสรุป งานวิจัยนี้ตอกย้ำว่า “การเงินเชิงพฤติกรรม” (Behavioral Finance) มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาตลาดทุน การเข้าใจปัจจัยทางจิตใจที่มีผลต่อพฤติกรรมของนักลงทุนจะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถสื่อสาร ให้คำปรึกษา และออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและบุคลิกของผู้ลงทุนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ตลาดทุนที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว
การศึกษาของโครงการวิจัย อารมณ์ ความรู้สึก บุคลิกภาพ การสื่อสาร และการตอบสนองของนักลงทุนต่อการรับรู้ความเสี่ยงและผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้สะท้อนให้เห็นภาพสำคัญของพฤติกรรมการสื่อสารและการเรียนรู้ของนักลงทุนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การลงทุน และสภาพจิตใจของผู้คนในวงกว้าง
ผลการวิจัยชี้ว่า ช่องทางการสื่อสารระหว่างนักลงทุนและผู้แนะนำการลงทุนมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการรักษาความมั่นใจของนักลงทุนในภาวะวิกฤต โดย แอปพลิเคชันไลน์ เป็นช่องทางที่นักลงทุนส่วนใหญ่เห็นว่าเหมาะสมที่สุด เนื่องจากมีความยืดหยุ่นในการส่งข้อความ ความถี่ และน้ำเสียงที่ปรับได้ทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ขณะเดียวกัน การศึกษาพบว่าลักษณะบุคลิกภาพของนักลงทุนส่งผลต่อความถี่ในการติดต่อ เช่น นักลงทุนที่มีบุคลิกภาพเปิดรับภายนอก (Extraversion) และใช้ความรู้สึก (Feeling) ต้องการการติดต่ออย่างต่อเนื่อง ในขณะที่นักลงทุนที่มุ่งเน้นภายใน (Introversion) ต้องการการติดต่อเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะเมื่อมีโอกาสลงทุนใหม่ ๆ เกิดขึ้น
นอกจากนี้ การวิเคราะห์ทางจิตวิทยายังพบว่า นักลงทุนที่มีภาวะซึมเศร้า มักต้องการให้ผู้แนะนำการลงทุนติดต่อผ่านทางโทรศัพท์มากกว่าช่องทางออนไลน์ และคาดหวังให้การติดต่อเกิดขึ้นเฉพาะในโอกาสสำคัญ ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นที่ผู้ให้คำแนะนำควรมีความเข้าใจต่อสภาพจิตใจของผู้ลงทุน เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความกดดันทางอารมณ์เกินไป การสื่อสารที่มีลักษณะให้กำลังใจ และเป็นมิตร มีผลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อความพึงพอใจของนักลงทุนต่อทั้งผู้แนะนำการลงทุนและบริษัทหลักทรัพย์
ในด้านของการเรียนรู้จากวิกฤตโควิด-19 งานวิจัยระบุว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ประสบภาวะมูลค่าพอร์ตโฟลิโอลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และมีพฤติกรรมการซื้อขายลดลงในช่วงวิกฤต โดยเฉพาะกลุ่มที่มีบุคลิกภาพเปิดรับประสบการณ์ใหม่ (Openness) และไม่เสถียรทางอารมณ์ (Neuroticism) ซึ่งมีแนวโน้มตอบสนองต่อความ ผันผวนด้วยการขายสินทรัพย์เพื่อลดความเสี่ยง ผลลัพธ์ดังกล่าวตอกย้ำว่า ความผันผวนสูงในตลาดและปัจจัยทางจิตวิทยามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนมากกว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยได้เสนอข้อแนะนำในเชิงปฏิบัติที่สำคัญว่า ในภาวะวิกฤต เช่น โรคระบาดหรือวิกฤติการเงิน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมุ่งเน้นการสื่อสารเชิงเข้าใจกับนักลงทุนกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้ที่มีบุคลิกภาพเปิดรับภายนอก พิถีพิถัน หรือใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ เพื่อช่วยลดผลกระทบเชิงลบทางอารมณ์และส่งเสริมการฟื้นตัวของความเชื่อมั่น นักลงทุนกลุ่มนี้ควรได้รับข้อมูลที่ชัดเจน ถูกต้อง และสม่ำเสมอในช่องทางที่เหมาะกับพฤติกรรมของตน