การพัฒนาตลาดทุนให้สามารถสนับสนุนและส่งเสริมความยั่งยืนได้ต้องอาศัยแนวนโยบายที่ผลักดันทั้งทางฝ่ายผู้บริโภคหรือผู้ลงทุน ภาคธุรกิจ และภาครัฐไปพร้อมกันเพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของประเด็นความยั่งยืน ผ่านกลไกนโยบาย เช่น การสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐในด้านการวิจัยและการให้เงินอุดหนุนหรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่อทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการบริโภคและดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบรวมถึงส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป
บตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 ราวปี ค.ศ. 1870 โลกเริ่มเข้าสู่ยุคของการผลิตสินค้าจำนวนมาก ต้นทุนการผลิตที่ลดลงทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น และนำไปสู่ค่านิยมแบบบริโภคนิยมที่เน้นการใช้จ่ายและการบริโภคอย่างต่อเนื่อง ผลที่ตามมาคือการใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อรองรับการผลิตขนาดใหญ่ รูปแบบการพัฒนาเช่นนี้ดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ก่อนที่ผลกระทบจะเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ทั้งภาวะโลกร้อน ความเสื่อมโทรมของธรรมชาติ ตลอดจนปัญหาด้านแรงงานและความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งล้วนเป็นผลจากการพัฒนาโดยไม่คำนึงถึงความยั่งยืน จากปัญหาที่เกิดขึ้น แนวคิด "การพัฒนาอย่างยั่งยืน" จึงเริ่มเป็นที่พูดถึงในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 และได้รับการนิยามอย่างเป็นทางการโดยองค์การสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1987 ว่าเป็น “แนวทางการพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นปัจจุบัน โดยไม่ลิดรอนความสามารถในการตอบสนองความต้องการของคนรุ่นหลัง”
ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมในปัจจุบันขับเคลื่อนโดยความต้องการจากทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ซึ่งภาครัฐเข้าไปควบคุมได้ไม่มากนัก ส่งผลให้ทรัพยากรถูกใช้ไปอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อผลิตสินค้าให้ได้มากที่สุด และนำไปสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แนวคิดเรื่อง “ตลาดทุนเพื่อความยั่งยืน” ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยนักลงทุนเริ่มให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ ESG มากขึ้น เมื่อมองไปข้างหน้า สินทรัพย์จำนวนมากจะอยู่ในรูปแบบดิจิทัล ข้อมูลจะถูกเข้าถึงได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น เทคโนโลยีอย่าง Blockchain จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการกระจายอำนาจการตัดสินใจทางธุรกิจ แทนที่การรวมศูนย์ไว้ที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากประเทศไทยสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ Blockchain อย่างเหมาะสม จะช่วยให้การจัดสรรทรัพยากรเพื่อเป้าหมายด้าน ESG มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยั่งยืนยิ่งขึ้น
ตลาดทุนมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม หนึ่งในเวทีสำคัญที่สะท้อนเรื่องนี้คือการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 26 หรือ COP26 ที่ประชุมได้ตกลงร่วมกันในการควบคุมปัญหาภูมิอากาศ ผลักดันให้ ยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และตั้งเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนให้เหลือศูนย์ภายในปี 2050 หนึ่งในแนวทางสำคัญที่ถูกเสนอ คือการใช้ มาตรการทางการเงิน เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว โดยมีสถาบันการเงินกว่า 450 แห่งทั่วโลก แสดงเจตจำนงที่จะร่วมสนับสนุน “เทคโนโลยีสะอาด” อย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืนก็เผชิญกับความท้าทาย หนึ่งในนั้นคือปัญหา “การฟอกเขียว” (Greenwashing) ซึ่งเกิดจากการที่บริษัทพยายามสร้างภาพลักษณ์ว่าใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อตามกระแสนิยมของผู้บริโภค เนื่องจากการดำเนินงานอย่างยั่งยืนมักมีต้นทุนสูง บางธุรกิจจึงเลือกใช้การโฆษณาหรือให้ข้อมูลที่คลุมเครือ เพื่อทำให้ผู้บริโภคและนักลงทุนเข้าใจผิดว่ากระบวนการผลิตหรือบริการของตนนั้นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีธรรมาภิบาล กรณีของ H&M ในปี 2021 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน บริษัทถูกประท้วงจากข้อกล่าวหาว่าใช้ข้อความทางการตลาดที่กว้างเกินไป จนทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าบริษัทดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนรองรับ
ในช่วงที่ผ่านมา ประเด็นด้านความยั่งยืนได้รับความสนใจในวงกว้าง ทำให้เกิดพัฒนาการด้านความยั่งยืนในตลาดทุนไทย เห็นได้จากการที่สำนักงาน ก.ล.ต. ได้มีการยกร่างแผนพัฒนาและมาตรการเพื่อความยั่งยืน โดยมีทั้งมาตรการหลักและย่อยเพื่อให้ครอบคลุมด้านต่าง ๆ เช่น มาตรฐานแรงงานไทย หลักธรรมาภิบาลการลงทุน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดให้บริษัทจดทะเบียนจัดทำรายงานและเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานด้าน ESG อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถประเมินความเสี่ยงและโอกาสจากมุมมองด้านความยั่งยืนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ในภาพรวมของสังคมไทย ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น สะท้อนได้จากแนวโน้มการเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจก็เริ่มปรับตัว ด้วยการพัฒนาโครงการที่ใส่ใจสังคม เช่น โครงการจ้างงานผู้สูงอายุ การปรับกระบวนการผลิตให้ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG อย่างต่อเนื่อง ภาครัฐเองก็มีการพัฒนานโยบายและกฎหมายเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนให้เกิดขึ้นในเชิงระบบมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่ตลาดทุนไทยที่ยั่งยืนยังคงมีอุปสรรคหลายด้าน ทั้งในแง่อุปสงค์ อุปทาน และนโยบายจากภาครัฐ ด้านนักลงทุน แม้จะเริ่มให้ความสนใจ แต่ยังมีข้อจำกัดจากผลตอบแทนของผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนที่ยังไม่จูงใจเท่ากับการลงทุนทั่วไป รวมถึงข้อจำกัดด้านข้อมูลที่ทำให้ตัดสินใจลงทุนได้ยาก อีกทั้งกระแส ESG ยังอยู่ในวงจำกัด โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ขณะที่ด้านผู้ประกอบการ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ยังเผชิญกับต้นทุนการปรับตัวที่สูง ทำให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น และยังไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากผู้บริโภคอย่างเพียงพอ
ในส่วนของนโยบายจากภาครัฐยังมีข้อจำกัด ทั้งในแง่โครงสร้างการทำงานที่ขาดการจัดระเบียบและบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ไม่มีดัชนี ESG ที่เป็นที่ยอมรับ ทำให้ไม่สามารถเปรียบเทียบผลการดำเนินงานได้ นอกจากนี้ มาตรการจากภาครัฐมักเน้นความสมัครใจมากกว่าการบังคับใช้และยังมีความช่วยเหลือหรือแรงจูงใจเพียงเล็กน้อย เช่น การให้ความรู้หรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ ขณะที่การออกกฎระเบียบที่เป็นมาตรฐานกลางก็ประสบปัญหา เนื่องจากกฎหมายมีความซ้ำซ้อน ปรับเปลี่ยนไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ และความหลากหลายของธุรกิจเองก็เป็นอุปสรรคต่อการกำหนดแนวทางร่วม ส่งผลให้การพัฒนาตลาดทุนด้านความยั่งยืนยังไม่สามารถเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ
แม้จะยังมีอุปสรรค แต่ตลาดทุนไทยก็ได้เริ่มต้นการเดินทางสู่ความยั่งยืนอย่างจริงจังแล้ว ความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ตลาดทุนไทยเติบโตอย่างมั่นคง พร้อมรองรับความเปลี่ยนแปลง และสร้างมูลค่าในระยะยาวได้อย่างแท้จริง
การส่งเสริมความต้องการของนักลงทุน (Demand) ในตลาดทุนเพื่อความยั่งยืน ควรสร้างความตระหนักรู้เรื่อง ESG ให้ครอบคลุมทั้งมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล พร้อมยกระดับให้เป็นวาระแห่งชาติ เช่นเดียวกับนโยบาย SG Green Plan ของสิงคโปร์ ที่ให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งมีบทบาทร่วมกันในการส่งเสริมความยั่งยืน ควบคู่กับการผลักดันให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทิศทางที่ยั่งยืน ผ่านมาตรการที่เข้าใจง่ายและจูงใจ เช่น การให้เงินอุดหนุนหรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุนในธุรกิจที่ดำเนินงานตามแนวทาง ESG เพื่อกระตุ้นการลงทุนระยะยาวในธุรกิจที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ควรสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้หลากหลายและตอบโจทย์ผู้ลงทุนมากขึ้น รวมถึงการผลักดันให้ข้อมูลด้าน ESG มีความโปร่งใส เข้าถึงได้ง่าย และอยู่ในรูปแบบที่สามารถเปรียบเทียบกันได้ เพื่อช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลรอบด้านและส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของตลาดทุนไทยในระยะยาว
ในขณะที่การเตรียมความพร้อมของภาคธุรกิจ (Supply) ก็ต้องได้รับแรงสนับสนุนและแรงจูงใจที่เหมาะสมเพื่อให้หันมาให้ความสำคัญกับ ESG อย่างจริงจัง ผ่านการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ควบคู่กับการตั้งเป้าหมายระดับประเทศที่ชัดเจน เช่น เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ของสหราชอาณาจักร ที่ช่วยสร้างแรงขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง นอกจากนี้ การจัดทำฐานข้อมูลและดัชนีเปรียบเทียบที่ชัดเจนก็จะช่วยให้ธุรกิจสามารถวัดผลและพัฒนาได้อย่างเป็นรูปธรรม ภาครัฐควรใช้มาตรการทางการเงิน เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือโครงการ Grant Scheme เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการออกหลักทรัพย์ ESG พร้อมทั้งใช้มาตรการกำกับดูแลที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะกับบริษัทขนาดใหญ่ เช่น การกำหนดให้เลือกใช้วัตถุดิบหรือบริการจากซัพพลายเออร์ที่มีความยั่งยืน เพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจรายย่อยปรับตัวตามไปด้วย และที่สำคัญคือนโยบายภาครัฐควรมีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับระดับพัฒนาของแต่ละธุรกิจ รวมถึงเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำกับดูแล เพื่อให้การขับเคลื่อนความยั่งยืนเกิดขึ้นได้จริงในทุกระดับ
ในด้านนโยบายของภาครัฐ การขับเคลื่อนความยั่งยืนจำเป็นต้องเริ่มจากการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อความโปร่งใสและมาตรฐานเดียวกัน เช่น การนำเทคโนโลยีอย่าง CBDC มาใช้ในการเพิ่มความโปร่งใสของธุรกรรมทางการเงิน พร้อมทั้งกำหนดให้เรื่องความยั่งยืนเป็นวาระแห่งชาติที่มีตัวชี้วัดผลกระทบต่อสังคมอย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถประเมินผลและพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง ภาครัฐควรสื่อสารกับประชาชนในรูปแบบที่เข้าถึงได้หลากหลายและเข้าใจง่าย เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องกับแนวทางความยั่งยืน ควบคู่ไปกับการสนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยลดต้นทุนและติดตามผล ESG อย่างมีประสิทธิภาพ โดยต้องมีแรงจูงใจทั้งในเชิงบวก เช่น สิทธิประโยชน์ และเชิงลบ เช่น บทลงโทษที่สอดคล้องกับมาตรการและมาตรฐานสากล ทั้งนี้ ควรพัฒนา National ESG Platform ภายใต้กรอบแนวคิด “การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เล่นในระบบ” บนพื้นฐานของข้อมูลข่าวสาร โดยครอบคลุมทั้งระบบข้อมูลระดับชาติ ระบบแนะนำพอร์ตการลงทุน ระบบประเมินความเสี่ยง ESG และระบบติดตามผลในระดับประเทศ เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถมีส่วนร่วมและขับเคลื่อนเป้าหมายความยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน